
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยๆให้เห็นประจำโดยเฉพาะกับรถใหญ่ๆอย่างยางของรถบรรทุก สิบล้อ หรือรถพ่วง ก็คงหนีไม่พ้นเหตุการณ์ยางแตกหรือยางระเบิดเป็นแน่ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิด ยางระเบิด นั้นมีอะไรบ้าง และต้องปฏิบัติรับมืออย่างไรมาดูกัน
สาเหตุที่ทำให้อาการยางระเบิด มีดังนี้
- ใช้งานยางที่หมดอายุการใช้งานไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ยางที่มีสภาพบวม ฉีกขาด ดอกยางที่หมดสภาพ เนื้อยางมีรอยแตก เป็นต้น – อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อายุการใช้งานยางรถยนต์ << ที่นี่
- ยางเก่ามากๆที่เอามาใช้ทดแทนเพราะไม่อยากเปลี่ยนของใหม่
- ใช้ความเร็วในการขับรถเกินที่ความเร็วของยางกำหนดพิกัดไว้
- สูบลมยางไม่สมดุล หรือไม่ถูกต้อง
- รถบรรทุกน้ำหนักมาเกิดที่ค่ากำหนดไว้
- ยางมีความร้อนสูงจัด เนื่องมาจากอาการเบรกติดที่ล้อใดล้อหนึ่ง และอาจทำให้เกิดไฟลุกได้
- ผู้ขับขี่ซื้อยางเปอร์เซ็น*มาใช้งาน
- เปลี่ยนยางใหม่ แต่ยังคงใช้จุ๊บปิดเติมลมอันเก่าอยู่
- การเลือกใช้งานยางไม่ถูกประเภท หรือขนาด เช่น ยางทั่วไปไม่เหมาะกับสถาพทางบางประเภท หรือนำยางรถเก๋งมาใช้กับรถกระบะ เป็นต้น
- แก้มยางได้รับการเสียดสีกับขอบถนน
*ยางเปอร์เซ็น : หมายถึงยางที่ใช้งานแล้ว โดยร้านค้าหรือร้านยางจะซื้อต่อมาจากผู้ที่มาเปลี่ยนยางใหม่ จำนวนเปอร์เซ็นมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับความสึกของ ดอกยาง ซึ่งหากดอกยางตื้นมากๆก็ไม่ควรใช้ต่อไป เพราะจะทำให้อันตรายมาก เพราะไม่มีดอกยางหรือลายยางมากพอที่จะรีดน้ำออกได้ขณะที่ขับตอนฝนตก ทำให้ยางไม่เกาะถนนและลื่นไถลได้ง่ายเมื่อทำการเบรก
ร้านยาง ปะยาง ต่างๆ จะนำยางที่หมดดอกหรือลายยางแล้วมาแกะลายเพิ่มเพื่อขายในราคาถูก ถ้าเราไปซื้อมาใช้งาน อาจจะทำให้เกิดอาการยางระเบิดได้ วิธีการสังเกตคือให้สังเกตที่สะพานยางว่ามีสะพานยางติดอยู่หรือไม่ หากไม่มีแสดงว่าร้านนำยางที่ดอกแล้วมาแกะใหม่
จะรู้ได้อย่างไร ว่ายางกำลังจะระเบิด?!
ในขณะที่เราขับรถอยู่นั้น เราจะรู้สึกถึงอาการสั่นแปลกๆของพวงมาลัยและทำให้บังคับรถได้ยาก ยิ่งโดยเฉพาะในขณะที่ทำการเลี้ยว นั้นไม่ใช่ปัญหาที่ช่วงล่าง ศูนย์ล้อ หรือการถ่วงล้อแต่อย่างใด ทั้งๆที่ขับออกมาช่วงแรกไม่มีอาการใดๆ นี่คืออาการที่จะบอกเราว่า ยางรถยนต์เริ่มมีอาการบวมและพร้อมจะระเบิดแล้ว
ควรชะลอความเร็วลง และจอดรถข้างทางหรือในบริเวณที่ปลอดภัย และรีบตรวจสอบสภาพของยางในทันที โดยที่พบส่วนมากยางจะมีอาการร้อนจัด และรู้สึกได้ว่าบวมขึ้นเนื่องจากยางเริ่มเสื่อมสภาพ
วิธีการรับมือหากเกิดเหตุการณ์ยางระเบิดขึ้น
- จับพวงมาลัยท่ามาตรฐานด้วยมือทั้งสองข้างอย่างมั่นคง
- ค่อยๆปล่อยหรือถอนคันเร่งออก
- ตรวจสอบรอบข้างอย่างถี่ถ้วนว่ามีรถอยู่บริเวณใกล้เคียงหรือมีรถตามหลังมาหรือไม่
- ค่อยๆแตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ ห้ามแตะแรงหรือเบรกจนสุดเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุนหรือเสียหลักได้
- ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาด เพราะการเหยียบคลัตช์จะทำให้รถลอยตัวเนื่องจากระบบขับเคลื่อนที่เพลา จะตัดขาดแรงบิดจากเครื่องยนต์ ทำให้รถควบคุมได้ยากขึ้น และอาจเสียหลักพุ่งชนได้
- ห้ามดึงเบรกมือเพื่อพยายามหยุดรถอย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้รถหมุนจนเกินควบคุมได้
- หากสามารถลดความเร็วของรถได้จนอยู่ในความเร็วที่ปลอดภัยแล้ว ให้รีบเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายแล้วพยายามเข้าชิดข้างทางให้มากที่ และเมื่อความเร็วลดลงจนสามารถหยุดรถได้แล้ว ให้ลดเกียร์ลงเรื่อยๆและหยุดรถที่ข้างทางอย่างปลอดภัย
ข้อสังเกตเมื่อเกิดเหตุยางระเบิด คือ หากล้อระเบิดทางด้านซ้าย (ไม่ว่าจะหน้าหรือหลังก็ตาม) รถจะแฉลบไปทางซ้ายก่อน และสะบัดกลับ ไปมาซ้ายขวาสลับกัน และจะอันตรายมาก หากระเบิดทางด้านขวา เพราะเป็นฝั่งที่อันตราย โดยเฉพาะหากเกิดระเบิดในขณะที่ใช้ความเร็วสูงมากๆ เมื่อยางระเบิด รถจะเสียทรงและทำให้รถกลิ้งทันที (คล้ายคนทำม้วนหน้าเพื่อตีลังกา) และไม่สามารถควบคุมได้
ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด ควรเลือกใช้ยางที่มีคุณภาพ และไม่ใช้ยางซ้ำ รวมไปถึงใช้ความเร็วที่เหมาะสมไม่เร็วจนเกินไป หรืออย่างเร็วสุดในรถบรรทุก หรือรถกระบะที่บรรทุกของหนัก การวิ่งด้วยความเร็ว 100 กม/ชม ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่ร้ายแรงที่ใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น