ควันจากท่อไอเสียของรถใช้น้ำมัน รวมถึงฝุ่น PM เป็นหนึ่งในต้นกำเนิดหลักของมลพิษทางอากาศที่หลีกเลี่ยงได้ยากมาก และเป็นปัญหาหลักที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่
ในบรรดาการรณรงค์และระดมความคิดหาหนทางการแก้ปัญหา “การเปลี่ยนรถน้ำมันมาเป็นรถไฟฟ้า” คือไอเดียหนึ่งที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นวิธีที่บุคคลทั่วไปและองค์กรสามารถทำได้ และมีต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่ารถใช้งานปกติ
ดู ๆ แล้ววิธีนี้จึงเป็นทางเลือกที่มีเส้นทางสดใสรออยู่ข้างหน้า และมีแต่ด้านดีที่เชื้อเชิญให้ลงมือปฏิบัติจริง หากแต่ว่า ก้าวแรกของวิธีนี้จะต้องทำอย่างไร เพราะสำหรับคนทั่วไปคงไม่ยาก แต่สำหรับบริษัทธุรกิจห้างร้านที่มีรถจำนวนมากกว่าจะต้องทำอย่างไร และที่จริงแล้วธุรกิจของเราเหมาะสมที่จะใช้รถไฟฟ้ามั้ย ค้นหาคำตอบในบทความคาร์แทรค ผู้ให้บริการด้านระบบจัดการยานพาหนะตอนนี้กัน
รถไฟฟ้า หรือ รถพลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle or EV) คือ ยานพาหนะที่มีเครื่องยนต์ออกแบบมาโดยใช้ไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดในการขับเคลื่อนยานพาหนะไปข้างหน้า
พลังงานไฟฟ้าของรถไฟฟ้าจะบรรจุอยู่ในแบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟซ้ำได้ โดยรถไฟฟ้าที่นิยมใช้งานกันในปัจจุบันจะแบ่งเป็นสองอย่างคือ
การเปลี่ยนรถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นรถไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผล คือ การเปลี่ยนแบบมีแผนการรองรับ โดยประโยชน์ของการเปลี่ยนมาใช้งานรถไฟฟ้ามีข้อดีหลายข้อ ดังนี้
ตามตั้งแต่แรกที่บอกว่าสาเหตุหลักที่คนหันมาใช้รถไฟฟ้าก็เพื่อลดมลภาวะทางอากาศ ซึ่งรถไฟฟ้าจะไม่ปล่อยควันพิษจากรถเลย ดีกับสิ่งแวดล้อม และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับองค์กรที่มีแผนการใช้การรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจในอนาคต
การใช้รถไฟฟ้า คือ การใช้พลังงานไฟฟ้าแทนพลังงานเชื้อเพลิงจากธรรมชาติ ซึ่งสำหรับองค์กรที่ต้องการส่งเสริมนโยบายนี้ การเปลี่ยนรถเป็นรถไฟฟ้า นับว่าเป็นก้าวแรกที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและเชิงนโยบาย ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่การใช้พลังงานทดแทนอื่น ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม เป็นต้น
โดยเฉลี่ย ค่าเชื้อเพลิงยานพาหนะและเครื่องจักรคิดเป็น 40% ของต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งนับว่าเป็นอัตราส่วนที่สูง ที่สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ค่าน้ำมันสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นทรัพยากรทางธรรมชาตินับวันมีแนวโน้มหายากมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทว่า การลดการใช้น้ำมันด้วยการลดการใช้ยานพาหนะหรือเครื่องจักร ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ธุรกิจอยากเลือกทำ เพราะนั่นหมายถึงการลดลงของผลผลิตและรายได้ไปด้วย การใช้รถพลังงานไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกทางรอดที่ดีกว่า และลดค่าใช้จ่ายได้จริงและอย่างยั่งยืน
ระยะแรกของการเข้าสู่ตลาดของรถพลังงานไฟฟ้า หนึ่งในความกังวลของผู้ใช้งานคือ ค่าซ่อมบำรุงรถที่สูง เวลาที่นำรถเข้าศูนย์แต่ละครั้ง
แต่จากรายงานผู้บริโภคปี 2020 จากเว็บไซต์แนะนำผู้บริโภคแบบไม่แสดงหาผลกำไร Consumer Report เผยว่า ผู้ใช้รถไฟฟ้าหรือ EV ประหยัดเงินค่าบำรุงรักษารถได้มากกว่า 50% เมื่อเทียบกับรถใช้น้ำมันทั่วไป เนื่องจากรถ EV มีความจำเป็นที่ต้องเข้าศูนย์ซ่อมบำรุงน้อยกว่า
เป็นต้นว่า รถไฟฟ้ามีของเหลวที่ต้องได้รับการเติมอยู่ 3 จุด คือ น้ำหล่อเย็น น้ำเช็ดกระจก และน้ำยาเบรก เมื่อเทียบกับรถใช้น้ำมันที่มีเรื่องของน้ำมันหล่อลื่น หรือการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันต่าง ๆ ซึ่งนั่นหมายถึงจำนวนครั้งของรถใช้น้ำมันที่ต้องเข้าศูนย์บำรุงรักษาที่มากกว่าด้วย
ไม่ว่าจะเป็นค่าซื้อรถหรือค่าติดตั้งแท่นชาร์จไฟฟ้าในพื้นที่ส่วนตัว ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นเหล่านี้มีตัวเลขสูงที่ทำให้ผู้ใช้รถหลายคนรู้สึกว่ารถไฟฟ้า “แพง” แต่เมื่อคำนวณในระยะยาวแล้ว ค่าใช้จ่ายของรถไฟฟ้าน้อยกว่าค่าใช้จ่ายของรถใช้น้ำมัน
หลายคนกังวลเรื่องของจุดชาร์จไฟที่มีน้อย ซึ่งเป็นประเด็นที่ภาครัฐและเอกชนกำลังเพิ่มจำนวนและอัปเกรดความสะดวกสบายให้มากขึ้น เช่น แอปพลิเคชันจองจุดชาร์จ จุดนั่งรอ เนื่องจากรถไฟฟ้าต้องใช้เวลาชาร์จไฟที่นานกว่ารถเติมน้ำมัน ซึ่งทั้งเรื่องของจำนวนจุดและความสะดวกสบายกำลังมีแนวโน้มเป็นไปในทางที่เติบโตมากขึ้น
ผลการศึกษาจากบริษัท KIA Motors ชี้ว่า 80% ของธุรกิจหรือผู้จัดการยานพาหนะ เลือกไม่ใช้รถไฟฟ้า เพราะกลัวว่ารถจะแบตหมดกลางทาง
ซึ่งในปัจจุบัน หลาย ๆ แบรนด์รถได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าสามารถบรรทุกและเดินทางถึงที่หมายระยะไกลได้จริง
ตัวอย่างเช่น Volvo ที่รถบรรทุกรุ่น FH สามารถบรรทุกรวมลากน้ำหนักรถได้ถึง 44 ตัน พร้อมความจุไฟฟ้าเดินทางได้ไกลถึง 300 กม. ต่อเที่ยวเดินทางหนึ่งครั้ง ในขณะที่รถใช้น้ำมันทั่วไปที่บรรทุกรวมลากน้ำหนักรถ 44 ตัน เดินทางได้ 1,000 กม. แต่ต้องแวะเติมน้ำมันเป็นระยะๆ เช่นกัน
ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนให้เห็นว่ารถทั้งสองแบบมีกำลังการวิ่งและบรรทุก รวมถึงระดับพลังงานที่จำเป็นต้องใช้แทบไม่ต่างกันเลย
หลายคนกังวลว่าแบตเตอรี่รถไฟฟ้าเสื่อมลงตามระยะเวลาที่ใช้งาน หรือความสามารถในการจุไฟฟ้าลดลง ซึ่งทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถเมื่อรถวิ่งไปได้ระยะหนึ่งแล้ว
ซึ่งปัจจุบัน ราคาแบตเตอรี่จะอยู่ที่ราว 30-57% ของราคารถทั้งคัน แต่ก็คาดการณ์ว่า ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ราคาแบตเตอรี่ลดลงได้ในที่สุด
การติดตามการใช้งานรถพลังงานไฟฟ้า อาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้ใช้รถใช้น้ำมันมาเป็นเวลานาน บางรายเป็นหลายสิบปี การใช้ “ระบบจัดการรถไฟฟ้า” เป็นเครื่องมือติดตามรถไฟฟ้าที่ใช้งาน จึงเป็นตัวช่วยที่น่าสนใจและต่อยอดจัดการรถหลายๆ คันได้แบบไร้รอยต่อ ไม่สะดุด
ระบบจัดการรถไฟฟ้า คือ ระบบบริหารจัดการยานพาหนะที่มีระบบเทเลเมติกส์เป็นองค์ประกอบสำคัญ
โดยระบบเทเลเมติกส์นี้จะบันทึกข้อมูลที่ได้จากการติดตามรถ เช่น ความเร็ว การเบรก การจอดแช่ ระดับพลังงานที่ใช้ ฯลฯ และประมวลผลออกมาเป็นข้อมูลแบบรายงานสรุปที่ทีมงานหรือบริษัทสามารถนำไปใช้ต่อยอด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้รถ การทำงานของคนขับ การใช้พลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้า ให้ดียิ่งขึ้นและดีที่สุดเท่าที่การทำงานจะมอบให้ได้
สำหรับระบบจัดการรถไฟฟ้า จะครอบคลุมเรื่องการจัดการการใช้งานรถต่าง ๆ เช่น
ระบบบริหารจัดการรถพลังงานไฟฟ้า Cartrack เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพการติดตามและจัดการการใช้รถสูง และครอบคลุมการใช้รถรอบด้าน ที่สำคัญคือสามารถแก้ปัญหาสำคัญของการใช้รถไฟฟ้า อย่างเช่นระบบบริหารจัดการรถพลังงานไฟฟ้า CARTRACK เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพการติดตามและจัดการการใช้รถสูง และครอบคลุมการใช้รถรอบด้าน ที่สำคัญคือสามารถแก้ปัญหาสำคัญของการใช้รถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น
ตามเนื้อหาก่อนหน้านี้ที่ “กลัวแบตหมดกลางทาง” เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนทั่วไปหรือธุรกิจไม่ใช้รถไฟฟ้า ระบบจัดการรถไฟฟ้าสามารถช่วยวางแผนเส้นทางการขับขี่ ที่เห็นภาพเส้นทางที่จะเกิดขึ้นและวางแผนเส้นทางการขับขี่ที่เหมาะสมกับพลังงานแบตเตอรี่
นอกจากนี้ระบบจัดการรถไฟฟ้า ยังรวบรวมจุดชาร์จไฟฟ้าในแผนที่ภายในระบบจัดการรถไฟฟ้า ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ว่า สามารถชาร์จไฟรถได้ที่จุดใดบ้าง และบันทึกค่าใช้จ่ายทั้งหมดไว้ในระบบอัตโนมัติด้วย
ระบบจัดการรถไฟฟ้าจะติดตามการใช้รถแต่ละคันอย่างละเอียด ทำให้สามารถแจ้งเตือนการส่งรถเข้าศูนย์ได้อย่างเหมาะสม และระบุได้ว่าส่วนใดที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
หากผู้สนใจใช้งานที่ยังไม่รู้ว่าควรตัดสินใจเลือกบริษัท GPS ในไทยจากเกณฑ์ไหนดี ขอชวนให้คุณลองมาเปิดใจใช้ CARTRACK ให้เทคโนโลยีจัดการรถที่ทันสมัย พร้อมระบบ GPS ติดรถของเราดูแลทรัพย์สินในธุรกิจให้คุณ รวมถึงปกป้องผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับรถใช้งานในธุรกิจ
ระบบจัดการรถไฟฟ้าที่สามารถติดตามผลได้จากสมาร์ทโฟน ตลอด 24 ชั่วโมง ติดตามจากจุดไหนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่กับรถ เมื่ออนาคตคือพลังงานไฟฟ้าและพลังงานทดแทนน้ำมันที่กำลังจะหมดไป มาเปลี่ยนตัวเองก่อนที่โลกจะเปลี่ยนคุณ
หากต้องการทดลองใช้งานระบบก่อนสั่งซื้อ GPS ติดตามรถ หรือ GPS จับความเร็วรถ เพื่อเสริมยานพาหนะของคุณให้ทำงานได้ดีกว่าและผ่านกติกาของกรมการขนส่งทางบกกับเจ้าหน้าที่ CARTRACK โดยตรง คลิกทดลองใช้ฟรี เพื่อกรอกข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ หรือโทร 02-136-2920 , 02-136-2921 ได้ในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30 - 17.30 น.
พิเศษ! โปรโมชันสำหรับลูกค้าคนสำคัญเช่นคุณ รับเลยทันที โปรโมชันติดตั้ง GPS ติดรถยนต์ GPS ติดรถเช่า จ่าย 10 เดือน ใช้ต่อเนื่อง 12 เดือน* (* เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)
ติดตาม CARTRACK (คาร์แทรค) เพิ่มเติมได้ที่
Facebook: Cartrack Thailand
Instagram: @cartrack.thailand
LINE: https://page.line.me/udi4517q?openQrModal=true หรือเข้าแอปฯ LINE เลือกเพิ่มเพื่อน เลือกค้นหา พิมพ์ @udi4517q ที่ ID และแอดเพื่อคุยสอบถามข้อมูลได้ทันที
อยากเปลี่ยนรถใช้งานในธุรกิจมีรถ จากรถน้ำมันเป็นรถไฟฟ้า มีข้อดีและข้อควรพิจารณาอะไรบ้าง และมีระบบจัดการรถไฟฟ้าที่จะมาช่วยให้การดูแลรถง่ายขึ้นหรือไม่