สำหรับใครหลายคนที่กำลังได้รับมรดกเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล หรือซื้อรถมือสอง และกำลังจะต้องถ่ายโอนกรรมสิทธิ์จากเจ้าของรถเดิมมาเป็นของตัวเองในปี 2568 อาจคิดกังวลว่าการโอนรถยนต์ส่วนบุคคลเป็นเรื่องยุ่งยาก ต้องใช้เอกสารมากมายและต้องใช้เวลานาน จึงทำให้ยังลังเลใจที่จะต้องหาวันลางานที่ทำงานประจำ เพื่อไปทำกิจธุระนี้
ถ้าเช่นนั้นจะมีวิธีการโอนอย่างไร ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง และการโอนลอยคืออะไร ควรระวังไหม บทความตอนนี้จากคาร์แทรค (CARTRACK) ผู้ให้บริการ GPS ติดตามรถยนต์ จะมาคลายข้อสงสัยเรื่องนี้ให้คุณเอง
การโอนรถยนต์ส่วนบุคคลในอดีต อาจเป็นเรื่องที่ใช้เวลาและขั้นตอนตรวจสอบค่อนข้างมาก เนื่องจากมีข้อจำกัดของบุคลากร เจ้าหน้าที่ และเทคโนโลยีในการรองรับการตรวจสอบข้อมูลเอกสารต่าง ๆ
แต่ในปัจจุบัน การใช้เวลาในกระบวนการโอนรถฯ ลดน้อยลงมาก เนื่องจากทางการใช้ระบบฐานข้อมูลแบบ MDM และที่สำคัญคือ การตรวจสอบข้อมูลได้ตามช่วงเวลาจริง หรือ Real Time เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งหน่วยงานราชการที่มีการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัย นิยมมาใช้เพื่อรองรับงานบริการประชาชนอย่างฉับไว เช็กข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ การโอนรถยนต์ส่วนบุคคลต้องมีการแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ “นายทะเบียน” ว่าต้องการโอนกรรมสิทธิ์จาก นาย ก. ไปให้ นาย ข. (โดยที่มีเงื่อนไขว่ารถยนต์ที่จะโอนหรือเปลี่ยนมือนั้น ต้องเป็นรถที่ผ่านการจดทะเบียนแล้วเรียบร้อยด้วย)
สำหรับเอกสารที่ต้องใช้ในการโอนรถยนต์ส่วนบุคคล ที่ผู้ดำเนินการยื่นคำร้องขอโอนรถต้องเตรียมให้พร้อมเพื่อความสะดวกรวดเร็ว คือ
แต่ทั้งนี้ หากเป็นกรณีที่เรารับโอนรถยนต์จากคนที่เสียชีวิตไปแล้ว เช่น รถยนต์ของญาติผู้ใหญ่ที่เพิ่งเสียชีวิตไป โดยท่านได้แจ้งความจำนงไว้ว่าจะยกให้เป็นมรดกของลูกหลานคนไหน กรณีนี้ก็ต้องมี “ใบมรณบัตร” และหนังสือ “พินัยกรรม” หรือ หนังสือราชการ “คำสั่งศาล” ที่มีข้อความระบุว่ายกรถยนต์คันนี้ให้ทายาทคนใดหรือยกให้แก่ใคร เป็นต้น
สำหรับขั้นตอนต่าง ๆ ในการโอนรถยนต์ส่วนบุคคลในปี 2568 เรียกได้ว่ากระชับรวดเร็วมาก เพียงกรอกแบบฟอร์มข้อมูลที่มีเตรียมไว้พร้อมบริการที่ฝ่ายงานทะเบียน ของสำนักงานขนส่ง เมื่อตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ก็นำรถยนต์คันที่จะโอนนั้นมาตรวจสภาพที่สำนักงานขนส่งประจำจังหวัดได้
หากทราบผลตรวจ “ผ่าน” เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ยื่นเอกสารราชการที่เตรียมไว้ทั้งหมด พร้อมกับค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่จะกล่าวถึงต่อไปที่ฝ่ายงานทะเบียนรถ แล้วรอเพียงครู่เดียวก็จะได้รับเอกสารต่อไปนี้
เพียงทำตามขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมา และได้รับเอกสาร-แผ่นป้ายต่าง ๆ ครบถ้วน ก็ถือว่าการโอนรถเป็นอันเรียบร้อยตามขั้นตอน
ในส่วนของค่าธรรมเนียมการโอนรถยนต์ กรมการขนส่งทางบก หรือ DLT ได้กำหนดไว้อย่างเป็นทางการ ว่าประชาชนผู้ใช้บริการโอนรถยนต์ส่วนบุคคลต้องมีค่าใช้จ่าย 5 หมวด ดังนี้
กรมการขนส่งทางบกได้ให้คำแนะนำว่า ไม่ควรฝากคนอื่นทำการโอนรถยนต์ส่วนบุคคลให้ เพราะมักมีการบวกค่าใช้จ่ายเพิ่มจากในประกาศ “ค่าธรรมเนียมการโอนรถยนต์ กรมการขนส่งทางบก” ซึ่งเรียกได้ว่า ไม่จำเป็นต้องฝากคนอื่นมาทำแทนแล้วในยุค 2568 เพราะการนำระบบการเชื่อมข้อมูลแบบ MDM มาใช้ ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการโอนรถฯ ไร้กังวลเรื่องการเสียเวลา ต่าจากเมื่อก่อนอย่างมาก
ส่วนการโอนรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งปัจจุบันมีความนิยมขับรถตระกูล BIGBIKE มากขึ้น ก็มีกระบวนการคล้ายกัน แค่สลับกันตรงที่ว่าต้องตรวจสภาพรถมอเตอร์ไซค์ก่อนการกรอกแบบฟอร์มเท่านั้นเอง
อีกประเด็นหนึ่งที่ยังมีหลายคนนิยมการโอนรถ ด้วยวิธีการที่เรียกทั่ว ๆ ไปว่า “โอนลอย” ซึ่งขออธิบายเล็กน้อย สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ “โอนลอย” ว่าเป็นการลักษณะที่ว่า เมื่อเจ้าของรถ เช่น นาย A ขายรถยนต์ให้ นาย B แล้ว (รับเงินไปเรียบร้อย)
นาย A จะลงชื่อ-นามสกุล ในเอกสารโอนรถเรียบร้อย พร้อมให้สำเนาเอกสารราชการต่าง ๆ แก่ นาย B ที่สำคัญ คือ เขียนหนังสือ “มอบอำนาจ” ให้ผู้ซื้อ คือ นาย B ไปดำเนินการต่อเองที่สำนักงานขนส่ง
จะเห็นได้ว่าการ “โอนลอย” ที่ทำกันโดยทั่วไปเช่นนี้ ยังไม่มีการติดต่อหน่วยงานราชการ เป็นการกระทำระหว่างสองฝ่ายเพียงผู้ซื้อ-ผู้ขาย ดังนั้น ถือว่าการโอนรถยนต์ส่วนบุคคลยังไม่สิ้นสุดสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังไม่มีการจดทะเบียนโอนให้เสร็จสมบูรณ์นั่นเอง ซึ่งการโอนลอย ดูเหมือนว่าจะให้ความสะดวกจึงทำให้คนส่วนใหญ่ เกิน 80 เปอร์เซ็นต์ ทำการซื้อขายกันเองแบบโอนลอย
แต่มีการเก็บสถิติพบว่ามีปัญหาใหญ่ที่มักเกิดตามมา คือ ปัญหาการสวมทะเบียนรถยนต์ปลอม ทำให้ผู้ซื้อได้รับความเสียหายและมีผลทางกฎหมายที่ต้องดำเนินการอีกมากตามมา นอกจากนี้ยังมีปัญหาบัตรผู้ขายหมดอายุแล้ว ทำให้ผู้ซื้อต้องยื่นเอกสารใหม่อีกรอบ
นอกจากนี้ หากผู้ซื้อ (นาย B) ไม่ไปทำการโอนให้เรียบร้อยหลังการซื้อขาย (ที่ไม่เป็นทางการนั้น) และที่สำคัญคือยังไม่ไปต่อภาษี ก็จะทำให้เกิดการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายและเป็นประวัติการค้างต่อภาษี ในชื่อของนาย A อยู่นั่นเอง
จะเห็นได้ว่าควรดำเนินการโอนรถยนต์ส่วนบุคคลด้วยตัวเอง จะมีความเสี่ยงในการเจอปัญหาน้อยที่สุด ประกอบกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ของกรมการขนส่งทางบก ในปี 2568 จึงช่วยอำนวยความรวดเร็วมากขึ้นอย่างแน่นอน
เจ้าของรถไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่ง หรือรถมือสอง หากต้องการดูแลให้รถอยู่ในสายตาคุณตลอดเวลาแม้คุณจะไม่ได้อยู่กับรถ ให้ GPS ติดตามรถ จาก CARTRACK ช่วยดูแลให้ สามารถเช็กตำแหน่งของรถได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือแล็ปท็อปที่คุณมี ไม่ว่าจะมีรถอยู่ภายใต้ความดูแลกี่คันก็จัดการได้ง่าย เหมาะกับทั้งรถยนต์ใช้งานส่วนตัวและรถยนต์ใช้งานในธุรกิจ
นอกจากนี้เรายังมีบริการติดตั้งเซนเซอร์น้ำมัน เพื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ GPS ติดตามรถ หรือกล้องระบบ AI ซึ่งเป็นกล้อง GPS ติดรถแบบ CCTV ใช้งานกับรถยนต์หรือรถบรรทุกได้ ราคาคุ้มค่า พร้อมยกระดับการทำงานให้ธุรกิจมีรถของคุณด้วยข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์
หากสนใจสอบถามข้อมูล GPS รถเพิ่มเติมหรือขอใบเสนอราคา กรอกข้อมูลการติดต่อของคุณที่นี่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับโดยเร็วที่สุด ในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30 - 17.30 น.
สำหรับลูกค้าใหม่ CARTRACK! ติดตั้งวันนี้ ฟรีค่าติดตั้งและค่าอุปกรณ์กล่อง GPS จ่ายเพียงค่าบริการ พร้อมโปรโมชันพิเศษ รับเลยทันที โปรโมชันติดตั้ง GPS ติดรถยนต์ รถตู้ รถกระบะ GPS ติดตามรถบรรทุก จ่าย 10 เดือน ใช้ต่อเนื่อง 12 เดือน* (* เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)
ติดตาม CARTRACK (คาร์แทรค) เพิ่มเติมได้ที่
Facebook: Cartrack Thailand
Instagram: @cartrack.thailand
LINE: CARTRACK GPS หรือเข้าแอปฯ LINE เลือกเพิ่มเพื่อน เลือกค้นหา พิมพ์ @udi4517q ที่ ID และแอดเพื่อคุยสอบถามข้อมูลได้ทันที

การโอนรถยนต์ส่วนบุคคล เรียกได้ว่ากระชับรวดเร็วมาก เพียงกรอกแบบฟอร์มพร้อมบริการที่ฝ่าย “งานทะเบียน” ของ สำนักงานขนส่ง หรือ DLT และการโอนลอยคืออะไร มาดูกัน