BLOGS

กลัวรถไฟฟ้าแบตหมดกลางทาง? เจาะปัญหารถ EV พร้อมวิธีแก้

ลูกค้าใหม่เท่านั้น! ต้องการติดตั้ง GPS Cartrack วันนี้ ปรึกษาฟรี!

ฉันเป็น / ...
จำนวนยานพาหนะของคุณ
ขอบคุณค่ะ เจ้าหน้าที่คาร์แทรคจะติดต่อกลับหาคุณโดยเร็วที่สุด
Oops! Something went wrong while submitting the form.

ประโยชน์ของรถไฟฟ้า EV ไม่เพียงแค่ลดค่าเชื้อเพลิง จากน้ำมันเบนซิน ดีเซล ที่ราคาสูงขึ้นทุกวัน เป็นค่าไฟฟ้า แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเหตุผลที่จูงใจคนให้เปลี่ยนมาใช้ รถ EV ในไทย กันอย่างมากมาย 

ทว่าปัญหาอย่างแบตเตอรี่รถไฟฟ้ที่เสี่ยงหมดระหว่างทาง แบบหาจุดชาร์จไม่ทัน ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ผู้ใช้รถหรืออยากใช้รถไฟฟ้าส่วนหนึ่งกังวลไม่หาย ปัญหานี้จะมีทางแก้อย่างไร ทำได้จริงไหม มาติดตามบทความตอนนี้ไปกับคาร์แทรค (CARTRACK) ผู้ให้บริการระบบจัดการยานพาหนะ และ GPS ติดรถกัน

บทความตอนนี้ชวนคุยเรื่อง:

  • การทำงานของรถไฟฟ้า EV
  • ใช้รถอย่างไรให้ไม่กลัวแบตเตอรี่รถไฟฟ้าหมดกลางทาง?
  • เหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้ผู้ใช้ไม่มั่นใจในแบตเตอรี่รถไฟฟ้า?
  • ความจุของแบตเตอรี่รถไฟฟ้าขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?
  • ขับรถ EV ในไทยแบบสบายใจ ทำยังไงได้บ้าง?
  • ระบบจัดการยานพาหนะ (Fleet Management System) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพรถ EV ได้อย่างไร?

การทำงานของรถไฟฟ้า EV

ทราบกันดีอยู่แล้วว่า รถไฟฟ้า EV (Electric Vehicle) จะใช้แบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานหลัก โดยแบตเตอรี่รถไฟฟ้าจะส่งพลังงานไฟฟ้าไปยังมอเตอร์ที่สั่งขับเคลื่อนล้อ ให้รถเคลื่อนที่

เมื่อแบตเตอรี่หมด วิธีชาร์จไฟรถ คือ การเสียบที่ชาร์จไฟจากสถานีชาร์จหรือจุดชาร์จ เข้ากับเต้ารับของรถ ที่หน้าตาคล้ายกับจุดเติมน้ำมันของรถใช้น้ำมันทั่วไป

นอกจากการชาร์จไฟรถแบบปกติแล้ว รถไฟฟ้ายังสามารถชาร์จไฟได้จากการเบรก หรือ Regenerative Braking เป็นการเบรกรถรูปแบบหนึ่ง ที่จะเปลี่ยนพลังงานที่เกิดขึ้นระหว่างการเบรก และส่งกลับเข้าไปยังแบตเตอรี่รถไฟฟ้า ซึ่งช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้มากยิ่งขึ้น

ใช้รถอย่างไรให้ไม่กลัวแบตเตอรี่รถไฟฟ้าหมดกลางทาง?

ความระแวงความจุแบตเตอรี่รถไฟฟ้ากับระยะทางที่รถวิ่งเกิดจากความไม่แน่ใจว่า แบตเตอรี่รถไฟฟ้าจะเพียงพอต่อระยะทางที่รถวิ่งหรือไม่ ผู้ใช้รถจำนวนหนึ่งจึงไม่มั่นใจว่าจะเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าเต็มตัวดีไหม หรือเลือกใช้รถแบบพลังงานผสมหรือ Hybrid แทน เพื่อลดความเสี่ยง

ความกังวลหลักของผู้ใช้รถไฟฟ้า EV คือเรื่องแบตเตอรี่

เหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้ผู้ใช้ไม่มั่นใจในแบตเตอรี่รถไฟฟ้า?

  1. รถไฟฟ้า EV ที่ใช้เป็นรถรุ่นเก่า ซึ่งมีความจุพลังงานต่ำ วิ่งได้ระยะไม่ไกลมาก ต้องชาร์จไฟบ่อย
  1. ไม่รู้แม่นยำเรื่องความจุพลังงานไฟฟ้าของรถที่ขับ จึงไม่สามารถประเมินได้ว่ารถจะวิ่งได้ระยะทางแค่ไหนก่อนที่จะต้องชาร์จไฟอีกครั้ง
  1. ไม่รู้พิกัดจุดชาร์จไฟ หรือรู้จักไม่กี่จุด ทำให้กะระยะไม่ถูกว่าควรชาร์จไฟเมื่อไหร่ถึงจะดีที่สุด ควรชาร์จรถตอนนี้ หรือไปอีกข้างหน้าก็เจอสถานีชาร์จไฟอีก เป็นต้น
  2. ไม่รู้แม่นยำเรื่องหัวจ่ายไฟและความเร็วการชาร์จ ทำให้กะเวลาไม่ถูก จึงไม่ค่อยอยากใช้รถ EV เลือกใช้รถใช้น้ำมันตามปกติง่ายกว่า

ความจุของแบตเตอรี่รถไฟฟ้าขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?

  1. พฤติกรรมการขับขี่

    การขับขี่ที่กระทบเครื่องยนต์ เช่น เร่งความเร็ว เบรกกะทันหัน หรือเร่งเครื่อง ส่งผลต่อรถไฟฟ้า EV มากพอ ๆ กับรถใช้น้ำมันปกติ ทำให้รถใช้พลังงานมากกว่าปกติ วิ่งได้ระยะทางน้อยลง และเครื่องยนต์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
  2. อุณหภูมิอากาศและอุณหภูมิเครื่องยนต์

    ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่า อุณหภูมิอากาศมีผลต่อความจุของแบตเตอรี่ ซึ่งมีความเป็นไปได้จริง เนื่องจากแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ไฟฟ้าส่วนใหญ่เมื่อก่อนทำมาจากลิเทียมไอออน ซึ่งสูญค่าแบตเตอรี่ได้ไวในสภาพอากาศที่เย็น
    อย่างไรก็ดี ด้วยนวัตกรรมการผลิตแบตเตอรี่ในปัจจุบัน ทำให้อุณหภูมิอากาศไม่ค่อยมีผลต่อค่าแบตเตอรี่มากเท่าไหร่แล้ว สิ่งที่ส่งผลกระทบมากกว่าคือ พลังงานจากการใช้เครื่องปรับอากาศ ที่ส่งผลต่ออุณหภูมิภายในเครื่องยนต์
  3. อายุการใช้งานแบตเตอรี่

    แบตเตอรี่รถไฟฟ้าเหมือนกับแบตเตอรี่ทั่วไป ที่มีอายุการใช้งานอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมีผลต่อความสามารถการจุแบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งพอใช้งานแบตฯ ไปเรื่อย ๆ อายุการใช้งานก็ลดลง ส่งผลให้ความจุแบตเตอรี่ลดลงเช่นกัน
    โชคดีที่อายุการใช้งานแบตเตอรี่ลดลงเพียงเฉลี่ยปีละ 2.3% เป็นต้นว่า รถไฟฟ้า EV ที่สามารถวิ่งได้ 434 กม. ต่อการชาร์จแบตฯ เต็ม 1 รอบ จะเหลือความสามารถการวิ่งได้เพียง 363 กม. ในอีก 7 ปีข้างหน้า

ความจุ_แบตเตอรี่ไฟฟ้า_ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง

ขับรถ EV ในไทย แบบสบายใจ ทำยังไงได้บ้าง?

แม้จะมีข้อมูลน่ากังวลที่กล่าวมาข้างต้น แต่รถ EV ก็ยังเป็นทางเลือกยานพาหนะที่น่าสนใจในยุคปัจจุบัน และสำหรับโลกอนาคต

คาร์แทรค มีคำแนะนำการขับขี่รถไฟฟ้า EV ที่ช่วยให้ผู้ใช้สบายใจมากขึ้นมาฝาก ดังนี้

  1. อบรมการขับขี่ที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ

    ผู้ขับขี่ ที่ใช้รถมีส่วนอย่างมากต่อการดึงศักยภาพของรถออกมามากที่สุด การอบรมการขับขี่ที่ถนอมเครื่องยนต์ เช่น ไม่ขับขี่แบบเร่งความเร็ว กระชากเครื่องยนต์ จอดแช่ ฯลฯ หรือการเบรกแบบชาร์จไฟ ช่วยลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่ได้อย่างดี
  2. วางแผนเส้นทางล่วงหน้า

    ตรวจสอบพิกัดพร้อมเส้นทางขับขี่ล่วงหน้า ช่วยให้รู้ว่าระหว่างเส้นทางนั้น มีสถานีจุดชาร์จอยู่ที่ไหนบ้าง ในระยะทางที่แบตเตอรี่รถจะเหลืออยู่ที่เท่าไหร่
    โดยการชาร์จแต่ละครั้ง จะใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาที สำหรับเวลาของระบบชาร์จเร็ว (Fast-charging) และนานกว่านั้นสำหรับจุดชาร์จไฟทั่วไป ซึ่งจะช่วยลดความกังวล ขับขี่ได้อย่างสบายใจมากขึ้นได้
  3. ดูแลรถให้พร้อมใช้งาน

    การดูแลรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานมากที่สุด ช่วยให้ใช้รถได้นานขึ้นได้จริง อย่างเช่น ลมยางล้อรถ มีข้อมูลชี้ว่า ลมยางที่ต่ำกว่าปกติทุกๆ 1 PSI ลดระยะทางขับขี่ถึง 0.4%
  4. อัปเดตข้อมูลรถให้คนขับตลอดเวลา

    เมื่อรถเดินทางสู่ท้องถนน คนขับรู้ข้อมูลของรถที่ขับตลอดเวลาหรือสามารถเรียกดูได้ทุกเมื่อ ช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการขับขี่ได้มากขึ้น
    ข้อมูลรถมาจากระบบที่ติดตั้งอยู่ที่เครื่องยนต์ของรถ จะส่งเข้าสู่ระบบดูแลจัดการรถส่วนกลางและในมือถือหรือคอมพิวเตอร์ของผู้ดูแลรถหรือแม้แต่คนขับรถแบบเรียลไทม์
    สิ่งนี้นอกจากจะช่วยให้คนขับรถรู้สถานการณ์ของรถที่ขับแบบเรียลไทม์ ยังช่วยให้คนขับหรือผู้จัดการการใช้รถวางแผนเส้นทางที่ดีกว่า เช่น สภาพถนน ระยะทาง จุดชาร์จ ฯลฯ ในอนาคต

ระบบจัดการยานพาหนะ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพรถไฟฟ้า EV ยังไง

ระบบจัดการยานพาหนะ (Fleet Management System) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพรถ EV ได้อย่างไร? 

แน่นอนว่า ระบบการทำงานของรถไฟฟ้า EV บันทึกและแสดงค่าแบตเตอรี่ แต่ระบบจัดการยานพาหนะหรือ Fleet Management System จะบันทึกการใช้งานของรถและนำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อ และแสดงผลข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้รถมากขึ้นยิ่งกว่าไปอีก

ประโยชน์ที่ผู้ใช้รถ EV จะได้จากระบบจัดการยานพาหนะ ก็เช่น

  1. รู้ว่าจุดชาร์จแบตเตอรี่อยู่ที่ไหน และแบตเตอรี่คงเหลือที่แท้จริงก่อนการชาร์จครั้งต่อไป
  2. บันทึกและติดตามค่าชาร์จแบตเตอรี่ ดูย้อนหลังได้
  3. บันทึกและติดตามสภาพเครื่องยนต์รถไฟฟ้าอย่างละเอียด พร้อมแจ้งเตือนการเสื่อมตามต้องการของเจ้าของรถได้
  4. จัดทำแผน ESG (Environment, Social, Governance) สำหรับองค์กรได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยข้อมูลจากระบบที่ชัดเจนและเชื่อถือได้
  5. จองจุดชาร์จแบตฯ ล่วงหน้าได้

ประโยชน์ที่ผู้ใช้รถ EV จะได้จากระบบจัดการยานพาหนะ

CARTRACK มีระบบจัดการยานพาหนะ Fleet Management System และ GPS ติดตามรถ ที่พร้อมดูแลและพัฒนาการใช้รถไฟฟ้า EV แล้ว และยังพร้อมรองรับการใช้รถไฟฟ้าเชิงธุรกิจด้วย เช่น รถบรรทุกไฟฟ้า ที่ช่วยให้รถทำงานได้มากขึ้นและลดต้นทุนลงได้อย่างรวดเร็วและเป็นผลระยะยาวอย่างยั่งยืนด้วย

นอกจากนี้เรายังมีบริการติดตั้งเซนเซอร์น้ำมัน เพื่อใช้งานร่วมกับกล่อง GPS ติดตามรถ หรือกล้อง AI ซึ่งเป็นกล้อง GPS ติดรถแบบ CCTV ใช้งานกับรถยนต์หรือรถบรรทุกได้ ราคาคุ้มค่า พร้อมยกระดับการทำงานให้ธุรกิจมีรถของคุณด้วยข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์

หากสนใจสอบถามข้อมูลระบบ Fleet Management System เพื่อรถไฟฟ้า EV จาก Cartrack ได้แล้วตอนนี้ กรอกข้อมูลการติดต่อของคุณที่นี่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับโดยเร็วที่สุด ในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30 - 17.30 น.

สำหรับลูกค้าใหม่ CARTRACK! ติดตั้งวันนี้ ฟรีค่าติดตั้งและค่าอุปกรณ์กล่อง GPS จ่ายเพียงค่าบริการ พร้อมโปรโมชันพิเศษ รับเลยทันที โปรโมชันติดตั้ง GPS ติดรถยนต์ รถตู้ รถกระบะ GPS ติดตามรถบรรทุก จ่าย 10 เดือน ใช้ต่อเนื่อง 12 เดือน* (* เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)

ติดตาม CARTRACK (คาร์แทรค) เพิ่มเติมได้ที่

Facebook: Cartrack Thailand

Instagram: @cartrack.thailand‍

LINE: CARTRACK GPS หรือเข้าแอปฯ LINE เลือกเพิ่มเพื่อน เลือกค้นหา พิมพ์ @udi4517q ที่ ID และแอดเพื่อคุยสอบถามข้อมูลได้ทันที

วิธีแก้ปัญหารถไฟฟ้า EV แบตหมดกลางทาง

เหตุผลที่จูงใจคนให้เปลี่ยนมาใช้ รถไฟฟ้า EV ในไทย ไม่ได้เต็มที่ เพราะส่วนหนึ่งกังวลเรื่องแบตเตอรี่รถไฟฟ้าเสี่ยงหมดระหว่างทาง หาจุดชาร์จไม่ทัน GPS รถช่วยได้