BLOGS

รู้ยัง? 6 หมวดค่าปรับที่ธุรกิจมีรถเลี่ยงได้ แค่มี GPS ติดรถ!

สนใจใช้งาน GPS ติดรถ Cartrack วันนี้ ปรึกษาฟรี!

ฉันเป็น / ...
จำนวนยานพาหนะของคุณ
ขอบคุณค่ะ เจ้าหน้าที่คาร์แทรคจะติดต่อกลับหาคุณโดยเร็วที่สุด
Oops! Something went wrong while submitting the form.

“กฎหมายขนส่งบังคับ” เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ธุรกิจมีรถต้องติดตั้ง GPS ติดรถ ที่รับรองโดยกรมการขนส่งทางบก 

โดยเหตุผลที่ต้องเป็นอุปกรณ์และระบบ GPS แบบเรียลไทม์ที่กรมขนส่งฯ รับรอง เท่านั้น เพราะอุปกรณ์จะติดตามข้อมูลการใช้รถและส่งไปยังกรมขนส่งฯ ตามมาตรฐานที่องค์กรกำหนด

อย่างไรก็ดี การติดตั้ง GPS รถ ได้อะไรมากกว่าที่คิด เพราะช่วยลดความเสี่ยงการเจอค่าปรับจราจรต่าง ๆ ได้ บทความคาร์แทรคตอนนี้ มี 6 หมวดค่าปรับยอดฮิต ที่แค่ติด GPS ติดรถ ก็ช่วยได้แล้วมาเล่าให้ฟัง พร้อมสาระน่ารู้อีกเพียบที่ช่วยให้ธุรกิจมีรถใช้รถได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพสุด ๆ ด้วย

บทความตอนนี้ชวนคุยเรื่อง:

  • ทำไม GPS ติดรถ จึงสำคัญต่อการลดต้นทุนของธุรกิจมีรถ
  • GPS ติดรถ บันทึกพฤติกรรมการขับขี่ได้อย่างไร?
  • GPS ติดรถ ช่วยป้องกันค่าปรับเรื่องไหนได้บ้าง?
  • ประโยชน์อื่น ๆ ที่ GPS ติดรถ มีให้ธุรกิจใช้รถได้
  • GPS ติดรถบรรทุก CARTRACK ตัวช่วยปรับปรุงพฤติกรรมคนขับ ลดการเสียค่าปรับ

ทำไม GPS ติดรถ จึงสำคัญต่อการลดต้นทุนของธุรกิจมีรถ?

เหตุผลที่ GPS ติดรถ ลดต้นทุนได้ เป็นเพราะระบบ GPS ติดตามและเก็บข้อมูลการใช้รถที่สำคัญไว้ 

ซึ่งข้อมูลส่วนนี้สะท้อนถึงต้นทุนของรถทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการใช้น้ำมันหรือข้อมูลสภาพรถ ความเสื่อม อย่างละเอียด 

ด้วยเหตุนี้ เจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลนี้มาใช้คิดคำนวณ คาดการณ์การลงทุน หรือตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้อย่างถูกจุดในเวลาอันรวดเร็ว

GPS ติดรถ บันทึกพฤติกรรมการขับขี่ได้อย่างไร?

GPS ติดรถ ที่คุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็น GPS ติดตามรถบรรทุก หรือติดรถประเภทไหน จะสามารถบันทึกพฤติกรรมการขับขี่ได้อย่างแม่นยำในรูปแบบ Event Based โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของระบบติดตามตำแหน่ง (GPS) เซนเซอร์ภายในรถ และซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อจับพฤติกรรมต่าง ๆ ของคนขับแบบเรียลไทม์หรือย้อนหลัง

พฤติกรรมการขับขี่ที่จีพีเอสติดรถสามารถบันทึกได้ เช่น

  • การขับรถเร็วเกินกำหนด (Overspeeding) ระบบจีพีเอสติดรถจะตรวจจับเมื่อรถวิ่งเร็วเกินกว่าค่าความเร็วที่กำหนดไว้ เช่น 90 กม./ชม. และบันทึกวันที่ เวลา ความเร็วสูงสุด และตำแหน่งที่เกิดเหตุไว้
  • การเบรกกะทันหัน (Harsh Braking) เซนเซอร์ตรวจจับแรงเบรกผิดปกติ เช่น เบรกแรงแบบกะทันหัน เป็นพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และทำให้ผ้าเบรกเสื่อมสภาพไว
  • การเร่งเครื่องแรง (Harsh Acceleration) ระบบตรวจจับการเหยียบคันเร่งแบบแรงและรวดเร็ว ซึ่งส่งผลต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมันและความปลอดภัย
  • การเข้าโค้งเร็วหรือรุนแรง (Harsh Cornering) จับพฤติกรรมคนขับที่เลี้ยวรถด้วยความเร็วสูงจนเสี่ยงเสียการควบคุม ซึ่งข้อมูลข้างต้น 3 ข้อ มักตรวจวัดจากแรงเหวี่ยง (G-force) ของเซนเซอร์ในรถ
  • การจอดรถแช่ติดเครื่องยนต์ (Idling) ตรวจสอบการจอดรถโดยที่ไม่ดับเครื่อง ซึ่งสิ้นเปลืองน้ำมันโดยไม่จำเป็น ช่วยควบคุมต้นทุนเชื้อเพลิง
  • การใช้งานนอกเวลาหรือเส้นทางที่กำหนด ตรวจได้ว่ารถวิ่งออกนอกพื้นที่ที่กำหนดไว้ (Geofence) หรือใช้งานนอกช่วงเวลาอนุญาต
  • ตรวจสอบการชนหรือแรงกระแทก (Impact Detection) ในกรณีที่มีอุบัติเหตุ ระบบบางรุ่นสามารถจับแรงสั่นสะเทือนได้ ใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่ามีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นจริง

GPS ติดรถ ช่วยป้องกันค่าปรับเรื่องไหนได้บ้าง?

GPS ติดรถ ช่วยป้องกันค่าปรับจราจรเรื่องต่าง ๆ ต่อไปนี้:

1. ขับรถเร็วเกินกำหนด

GPS ติดรถที่มีระบบเตือนความเร็ว (Speed Alert) จะส่งแจ้งเตือนทันที เมื่อรถขับเกินความเร็วที่กฎหมายกำหนดหรือที่เจ้าของรถตั้งไว้ ช่วยให้คนขับระวังตัวมากขึ้น และลดโอกาสโดนกล้องจราจรจับความเร็วจากที่สูง ตรวจจับความเร็วไว้ได้

จากข้อมูลร่างกฎหมายล่าสุด 2568 โดยสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กระทรวงคมนาคม ได้กำหนดความเร็วรถที่วิ่งบนทางล่างหรือระดับดิน ดังนี้

  • รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กก. หรือผู้โดยสารเกิน 15 คน ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 90 กม./ชม.
  • รถบรรทุกผู้โดยสารเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.
  • รถโรงเรียนหรือรถรับส่งนักเรียน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม.
  • รถยนต์ 4 ล้อ ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 110 กม./ชม.
  • รถที่ขับรถเลนขวาสุดบนทางหลวง ต้องวิ่งด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 100 กม./ชม.
  • รถแทรกเตอร์ รถบดถนน รถที่ใช้ในการเกษตร ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 45 กม./ชม.
  • รถจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กม./ชม.

ขณะที่รถที่วิ่งบนทางด่วน จะสามารถวิ่งได้ความเร็วไม่เกินที่กำหนด ดังนี้

  • รถบรรทุกมากกว่า 2,200 กก. หรือมีผู้โดยสารเกิน 15 คน ขับบนทางยกระดับหรือทางด่วนได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.
  • รถยนต์ 4 ล้อ วิ่งบนทางด่วนได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.
  • รถโรงเรียน-รับส่งนักเรียน ขับบนทางด่วนได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.

ทั้งนี้ ค่าปรับจราจรสำหรับโทษฐานขับรถเร็วเกินกำหนด อยู่ที่ไม่เกิน 4,000 บาท

2. ขับรถในช่วงเวลาห้ามใช้ถนน ขับขี่ผิดเส้นทางตามใบอนุญาต

ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วไทยจะมีเขตต่าง ๆ อย่าง เขตห้ามรถบรรทุก เขตห้ามจอด ฯลฯ เจ้าของรถสามารถตั้งพื้นที่ต้องห้ามในฟีเจอร์ Geofence ได้ และระบบจะแจ้งเตือนทันทีเมื่อรถวิ่งเข้าไป หรือตรวจสอบได้เรื่อย ๆ ว่า รถอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่

ค่าปรับจราจรสำหรับโทษฐานขับรถในพื้นที่ห้ามเข้าหรือช่วงเวลาห้ามใช้ถนน อยู่ที่ไม่เกิน 1,000 บาท

3. จอดรถในที่ห้ามจอด / จอดเกินเวลา

ระบบ GPS ติดตามรถที่คุณภาพสูง จะบอกตำแหน่งจอดได้แบบเรียลไทม์ และสามารถย้อนดูประวัติได้

ดังนั้น หากเกิดปัญหาโดนใบสั่งจากกล้องจราจร เจ้าของรถสามารถตรวจสอบตำแหน่งได้ว่า รถจอดตรงนั้นจริงหรือไม่ เพื่อใช้เป็นหลักฐานชี้แจงแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเอง ซึ่งการจอดรถที่จะก่อให้เกิดค่าปรับ คือการจอดในลักษณะดังนี้:

  • จอดรถบนทางเท้า 
  • จอดรถบนสะพานหรือในอุโมงค์
  • จอดรถในทางร่วมทางแยกหรือภายในระยะ 10 ม. จากทางร่วมทางแยก
  • จอดรถในเขตที่มีเครื่องหมายห้ามจอด
  • จอดรถภายในระยะ 15 ม. ก่อนถึงเครื่องหมายหยุดรถประจำทางและเลยเครื่องหมายไปอีก 3 ม. 
  • จอดรถในลักษณะกีดขวางการจราจร
  • จอดรถในทางเดินรถหรือไหล่ทางโดยไม่เปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างเพียงพอ ที่จะเห็นรถที่จอดได้ชัดแจ้งในระยะไม่น้อยกว่า 150 ม.

ค่าปรับจราจรสำหรับโทษฐานจอดรถในที่ห้ามจอด หรือจอดเกินเวลา อยู่ที่ไม่เกิน 500 บาท

 

4. ขับรถหรือใช้รถแบบผิดมารยาทจราจร

นอกจากการใช้ความเร็ว การจอด การเข้าพื้นที่ห้ามเข้า ล่าสุดปี 2568 ยังมีกฎหมายใหม่ ๆ พร้อมค่าปรับออกมาด้วย ที่ระบบ GPS ติดรถ สามารถช่วยติดตามข้อมูลการใช้รถอย่างละเอียดและฝึกอบรมคนขับเพื่อป้องกันไม่ให้ขับขี่ในลักษณะดังกล่าวได้ เช่น

  • เลี้ยวรถหรือเปลี่ยนช่องเดินรถโดยไม่ให้สัญญาณ มีค่าปรับอยู่ที่ 400-1,000 บาท
  • ขับรถแซงขึ้นหน้ารถอื่นภายในระยะ 30 ม. ก่อนถึงทางแยก มีค่าปรับอยู่ที่ 400-1,000 บาท
  • กลับรถในทางเดินรถกีดขวางการจราจร มีค่าปรับอยู่ที่ 200-500 บาท
  • กลับรถในระยะ 100 ม. จากเชิงสะพาน มีค่าปรับอยู่ที่ 400-1,000 บาท
  • กลับรถที่ทางร่วมทางแยก (เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรให้กลับรถได้) มีค่าปรับอยู่ที่ 400-1,000 บาท
  • หยุดรถหรือจอดรถในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรโดยไม่มีอำนาจ มีค่าปรับอยู่ที่ 500 บาท
  • ไม่จอดรถทางด้านซ้ายของทางเดินรถ มีค่าปรับอยู่ที่ 500 บาท
  • หยุดรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุผลสมควร มีค่าปรับอยู่ที่ 500 บาท
  • หยุดรถตรงปากทางเข้าออกของอาคาร หรือทางเดินรถ โดยไม่มีเหตุผลสมควร มีค่าปรับอยู่ที่ 500 บาท

5. รถไม่ได้เสียภาษีประจำปีตามระยะเวลาที่กำหนด

อุบัติเหตุเล็ก ๆ นี้มักเกิดขึ้นกับธุรกิจที่มีรถใช้งานจำนวนมาก แต่ไม่มีระบบติดตามรถที่มีระบบแจ้งเตือนการดูแลหรือจัดการงานรถ (Maintenance) 

เรื่องนี้อาจส่งผลให้รถที่ใช้งานอยู่ทุกวัน ขาดการต่อภาษีรถอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ขาดโอกาสการใช้งานชั่วคราวหรืออาจจะเจอค่าปรับหากนำรถออกไปใช้งาน

โดยการใช้รถที่ไม่ได้เสียภาษีประจำปีตามระยะเวลาที่กำหนด มีค่าปรับไม่เกิน 10,000 บาท

6. ใช้รถที่เสื่อมสภาพจนสร้างความเดือดร้อนรำคาญ

ธุรกิจที่มีรถ ส่วนมากเจ้าของรถจะไม่ได้เป็นคนขับรถเอง ก็อาจจะทำให้ไม่รู้สภาพที่แท้จริงของรถก็เป็นได้ 

ระบบ GPS ติดรถจะช่วยให้ธุรกิจรู้ทันทีผ่านระบบว่า ตอนนี้รถมีปัญหาเครื่องยนต์หรือไม่ ระบบไอเสีย ไฟ ฯลฯ และนำไปซ่อมแซมหรือจะปลดประจำการก็ตัดสินใจได้ง่ายจากข้อมูลจริง ๆ ของรถ

โดยการนำรถที่มีปัญหามาใช้งานจะมีโทษปรับดังต่อไปนี้

  • นำรถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดก๊าซ ฝุ่นควันดำ ละอองเคมี เกินเกณฑ์ที่กำหนดมาใช้ในทางเดินรถ อยู่ที่ไม่เกิน 1,000 บาท
  • นำรถที่ไม่มั่นคงหรืออยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือทำให้เสื่อมเสียสุขภาพอนามัย มาใช้ในทางเดินรถ มีค่าปรับอยู่ที่ไม่เกิน 500 บาท
  • นำรถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดเสียงเกินเกณฑ์ที่กำหนดมาใช้ในทางเดินรถ มีค่าปรับอยู่ที่ไม่เกิน 1,000 บาท

นอกจากนี้ยังมีกรณีที่การออกใบสั่งผิดพลาด โดยไม่ใช่ความผิดของคนขับ เช่น เลขทะเบียนคล้ายกัน ระบบ GPS ช่วยตรวจสอบพิกัดย้อนหลัง เพื่อยืนยันว่า รถไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุจริง ๆ

ประโยชน์อื่น ๆ ที่ GPS ติดรถ มีให้ธุรกิจใช้รถได้

นอกจากการลดความเสี่ยงค่าปรับแล้ว GPS ติดรถ ยังมีประโยชน์อื่น ๆ ที่ธุรกิจมีรถต้องการ เช่น 

  1. ลดต้นทุนการดำเนินงาน ตรวจสอบพฤติกรรมขับขี่ที่สิ้นเปลืองน้ำมัน เช่น ขับรถเร็วเกินกำหนด ใช้รถนอกเรื่องงาน ขับรถออกนอกเส้นทางประจำ จอดแช่ติดเครื่องนานแบบไม่จำเป็น ฯลฯ ป้องกันการใช้งานรถในทางที่ไม่เหมาะสมได้ด้วย
  2. แจ้งเตือนเมื่อน้ำมันรถลดผิดปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญสัญญาณแรกของการขโมยน้ำมัน ป้องกันการขโมย
  3. วางแผนเส้นทางวิ่งที่สั้นและประหยัดที่สุด ด้วยระบบปรับปรุงเส้นทางการขับขี่ จากพิกัดที่รถต้องวิ่งไปในแต่ละวัน
  4. กำหนดขอบเขตการใช้งานรถ ด้วยระบบสร้างกรอบพื้นที่จำลอง (Geofence) หากรถออกนอกพื้นที่จะแจ้งเตือนเข้าสู่ระบบทันที
  5. บันทึกเส้นทางการขับขี่ที่ผ่านมา ใช้ตรวจสอบเหตุการณ์หรือข้อร้องเรียนได้ หรือใช้เป็นหลักฐานกรณีเกิดปัญหาหรือข้อพิพาท
  6. เช็กสถานะรถทั้งหมดแบบเรียลไทม์จากระบบติดตามยานพาหนะที่เดียว บริหารจัดการรถได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  7. วางแผนจัดคิวการใช้งานรถ หรือเส้นทางรับส่งสินค้า/คน ได้อย่างแม่นยำ
  8. แจ้งเตือนเมื่อรถครบกำหนดในเรื่องต่าง ๆ ได้ เช่น นำรถไปเช็กระยะ หรือต่อทะเบียน/ประกัน ช่วยให้เจ้าของรถไม่พลาดธุระต่าง ๆ ของรถแต่ละคัน
  9. บอกเวลาที่รถถึงปลายทางได้แม่นยำ และตรวจสอบสถานะรถได้ทันที
  10. ยกระดับภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ ลูกค้าเชื่อมั่นในบริการมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจส่งของ/บริการรับส่ง ที่ต้องการเวลาขนส่งที่แม่นยำ คาดการณ์ได้

GPS ติดรถบรรทุก CARTRACK ตัวช่วยปรับปรุงพฤติกรรมคนขับ ลดการเสียค่าปรับ

ธุรกิจมีรถใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุกประเภทไหน หรือรถรุ่นเก่าหรือใหม่ สามารถติดตั้ง GPS ติดรถคุณภาพสูงจาก CARTRACK เพื่อดูแลรถใช้งานของคุณได้อย่างรอบด้าน 

ไม่เพียงแค่ลดหรือป้องกันการเกิดค่าปรับที่ไม่จำเป็น แต่ยังลดต้นทุนการใช้งานรถ หยุดทุจริตน้ำมันในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ขโมยน้ำมัน โกงบัตรเติมน้ำมัน หรืออุบัติเหตุบนท้องถนน ที่ล้วนก่อให้เกิดค่าเสียหายและความเสียหายในรูปแบบต่าง ๆ 

ระบบ GPS แบบเรียลไทม์จาก CARTRACK ยังสามารถทำงานร่วมกับเซนเซอร์เฉพาะทางต่าง ๆ เช่น เซนเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิ กล้องวงจรปิดรถ เซนเซอร์น้ำมัน กล้องตรวจจับพฤติกรรมคนขับ ฯลฯ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

CARTRACK เป็นบริษัท GPS ในไทย ที่ได้รับการยอมรับรวมถึงดูแลรถและทรัพย์สินใช้งานจริงมากกว่า 23 ประเทศทั่วโลก รับติดตั้ง GPS ทั่วประเทศ รับติดตั้ง GPS รถบรรทุก รถพ่วง รถหกล้อ รถสิบล้อ รถลากจูง รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ และเครื่องจักรหนักทุกประเภท

หากธุรกิจสนใจอุปกรณ์ติดตั้งชิ้นไหน หรือต้องการปรึกษาโดยดูจากความต้องการใช้งานของธุรกิจก่อน สามารถโทรพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ CARTRACK ได้โดยตรงที่หมายเลข 02-136-2920, 02-136-2921 ในวันจันทร์ถึงศุกร์ ระหว่างเวลา 8.30 - 17.30 น. หรือกรอกฟอร์มที่ด้านบน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของเราติดต่อกลับหาคุณโดยเร็วที่สุด

พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่สนใจซื้อ GPS ติดตามรถ รับทันที โปรโมชันติดตั้ง GPS ติดตามรถบรรทุก จ่าย 10 เดือน ใช้ต่อเนื่อง 12 เดือน* (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)

คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับ GPS ติดรถ

ถาม: “GPS ติดรถบรรทุก CARTRACK ส่งข้อมูลเข้า DLT ให้อัตโนมัติไหม?”

ตอบ: ทำได้อัตโนมัติ เนื่องจาก GPS ติดรถบรรทุก CARTRACK เป็นกล่อง GPS ที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก และเรายังมีบริการติดตั้ง GPS ร่วมกับเครื่องรูดใบขับขี่อีกด้วย 

ดังนั้น ข้อมูลคนขับรถและข้อมูลการใช้รถที่เครื่อง GPS อ่านได้จะถูกส่งไปยังกรมขนส่งทันที ตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ใช้งาน GPS ของเราจึงหายห่วงเรื่องนี้ได้เลย

ถาม: “อยากติดตั้ง GPS ติดรถ CARTRACK ในนามบริษัทต้องทำอย่างไร?”

ตอบ: ผู้ที่สนใจติดตั้ง GPS CARTRACK สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่หมายเลข 02-136-2920, 02-136-2921 หรือกรอกฟอร์มด้านบน และแจ้งความประสงค์ว่าต้องการติดตั้ง GPS รถในนามบริษัทหรือนิติบุคคล กับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลได้โดยตรง

ถาม: “ควรเลือกติดตั้ง GPS ติดรถบรรทุก ราคาเท่าไหร่ดี?”

ตอบ: แนะนำให้เลือก GPS ติดรถบรรทุก ที่จะติดตั้งจากฟังก์ชันที่ต้องการใช้งานก่อน GPS ที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก 

ซึ่งโดยทั่วไป GPS ติดรถบรรทุกที่มีฟังก์ชันพื้นฐานที่รถบรรทุกต้องการก็มีในงบประมาณราคาไม่เกินหลักร้อยต่อเดือนเช่นกัน ผู้สนใจสามารถติดต่อเข้ามาได้ที่หมายเลข 02-136-2920, 02-136-2921 หรือกรอกข้อมูลติดต่อและความต้องการใช้งาน GPS ที่ฟอร์มด้านบน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของ CARTRACK ติดต่อกลับเองได้เลย

ติดตาม CARTRACK (คาร์แทรค) เพิ่มเติมได้ที่

Facebook: Cartrack Thailand

Instagram: @cartrack.thailand‍

LINE: https://page.line.me/udi4517q?openQrModal=true หรือเข้าแอปฯ LINE เลือกเพิ่มเพื่อน เลือกค้นหา พิมพ์ @udi4517q ที่ ID และแอดเพื่อคุยสอบถามข้อมูลได้ทันที

6 หมวดค่าปรับที่ธุรกิจมีรถเลี่ยงด้วย GPS ติดรถ

ไม่อยากเจอค่าปรับจราจร? รู้ไหมว่า แค่ติดตั้ง GPS รถ ก็ช่วยได้แล้ว! บทความคาร์แทรคมี 6 หมวดค่าปรับยอดฮิต ที่แค่รถใช้งานติด GPS ติดรถ ก็รับมือได้สบาย!